เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ก.พ. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพื่อกล่อมเกลาหัวใจของเรา หัวใจของเรา เวลาโยมมาทำบุญๆ บุญกุศลเป็นอามิส บุญกุศล เราเสียสละ เราได้ขึ้นมา เราเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เรามีจิตใจโอบอ้อมอารี นี่เป็นบุญๆ ส่วนที่เป็นบุญๆ แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย ฟังธรรมๆ ไง ฟังธรรมให้หัวใจเรา ให้หัวใจนะ ไม่ใช่ให้สมอง ให้หัวใจเราฉลาด ถ้ามันฉลาดขึ้นมา มันจะเอาตัวรอดของมันไง

เวลาบอกว่า หลักธรรมๆ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เด็กมันถาม ทำไมบอกว่าเกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐที่สุด ทำไมเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุด เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ทำลายเขาทั้งนั้นน่ะ

นักล่า เวลายักษ์มันกินคนนะ เวลายักษ์กินคนมันยังเป็นครั้งเป็นคราว แต่มนุษย์ มนุษย์ทำลายกันตลอด ทำลายกันตลอด อันนั้นเพราะจิตใจของเขา เพราะจิตใจของเขา เขาไม่ได้ฟังธรรมของเขา เขาไม่มีคุณธรรมในใจของเขา เขามีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเขา เขาคิดว่าเขาทำอย่างนั้นแล้วเขาได้ผลประโยชน์ของเขา เพราะจิตใจของเขาไม่มีคุณธรรมในใจ ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน

เวลาคนที่ตกทุกข์ได้ยากเห็นคนที่เขาประสบความสำเร็จของเขา เราก็ว่าทำไมเราไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมเราไม่มีโอกาสอย่างนั้น ทำไมเราทำสิ่งใดแล้วไม่ประสบความสำเร็จของเรา ไม่ประสบความสำเร็จของเรา

ประสบความสำเร็จ คนที่มีบารมีธรรม บารมีธรรม ทำสิ่งใด ดูสิ เวลาที่ทางโลกเขามีการปกครองเป็นจักรพรรดิ เขามีขุนนางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้วๆ ขุนคลังแก้วเรียกทรัพย์สินได้ตลอดเวลา ขุนคลังแก้ว ถ้าเป็นจักรพรรดินะ แต่มันก็เป็นคราวไง เวลาจักรมันหมุน จักรพรรดิยังปกครองอยู่ แต่เวลาจักรมันหยุด เขาจะสละราชสมบัติของเขา เขาจะออกบวชของเขา แต่คนถ้ามันฝืนไปๆ ฝืนไปมันก็ตกต่ำไปเรื่อยๆ ตกต่ำไปเรื่อยๆ ไง ถ้าตกต่ำ

เวลาเราเห็นคนที่เขาประสบความสำเร็จ เขามีบุญกุศลของเขา ทำไมเราไม่ได้อย่างเขา ทำไมเราไม่ได้อย่างเขา

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เรามีโอกาส ไม่มีอำนาจวาสนาอย่างนั้น เราก็พยายามทำคุณงามความดีของเราไง ถ้าทำคุณงามความดีของเรา ถ้าทำความดี เราสะสมขึ้นมา เราต้องมีโอกาสอย่างนั้น ต้องมีโอกาสอย่างนั้น

แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจของเขา เขาบอกเขามีปัญญา เขามีชั้นเชิงของเขา เขามีเล่ห์เหลี่ยมของเขา เขาจะหาผลประโยชน์ของเขา นั่นเขาสร้างเวรสร้างกรรมมา เพราะเขาไม่ได้ได้มาด้วยความเป็นธรรมไง ถ้าได้มาด้วยความไม่เป็นธรรม มันได้มาด้วยความทุกข์ความร้อน ดูสิ เวลาคนเขาทำความผิดไว้สิ่งต่างๆ เขาต้องนั่งทับความผิดของเขาไว้ แล้วเขาก็ลำบากใจ หวาดระแวงไปหมดเลยว่าเมื่อไหร่คนจะมารู้ความลับของเขา รู้ความลับของเขา นั่นน่ะเวลาเขาทำขึ้นมา นั่นน่ะมันไม่ได้มาด้วยความเป็นธรรมไง

ถ้ามีธรรมในหัวใจๆ ฟังธรรมๆ ทำเพื่อให้มันเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามันเกิดจากไหนล่ะ ปัญญาทางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ปัญญาก็บอกว่าต้องแข่งดีแข่งเด่นกับเขา ชิงดีชิงเด่นกับเขา นั่นพูดถึงว่าปัญญาทางกิเลสนะ

แต่ถ้าปัญญาทางธรรมๆ เรายอมรับความจริงไง เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามันได้มาด้วยความเป็นจริงของเรา ได้มาโดยสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม อันนั้นก็เป็นผลของเรา ความขยันหมั่นเพียร ความวิริยอุตสาหะนั้นไม่ใช่กิเลส ความขยันหมั่นเพียรมันเป็นจริตนิสัยของคน คนมีความขยันหมั่นเพียร คนมีความซื่อสัตย์ของเขา เขาทำของเขาด้วยปัญญาของเขา ด้วยความภูมิใจของเขา ทำแล้วมีความสุข

คนเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ มันแข่งดีแข่งเด่นกับเขา อยากทำให้เสมอเขา แล้วทำแล้วไปกว้านมาๆ มีแต่ความทุกข์ไง มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความเร่าร้อนในใจทั้งนั้นน่ะ แล้วได้มาแล้วก็ได้มาด้วยความหวาดระแวง ไม่ได้ได้มาด้วยความร่มเย็น

แต่ถ้ามันได้มาด้วยความเป็นธรรมๆ เพราะเราทำของเรา ความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์สุจริต สิ่งนี้มันเป็นธรรมๆ ทั้งนั้นน่ะ แล้วธรรมของเรา ถ้ามันประสบความสำเร็จของเรา มันเป็นของของเรา มันก็มีความสุขในหัวใจของเรา ถ้ามันผิดพลาด มันไม่ประสบความสำเร็จของเรา เราก็พยายามขวนขวายของเรา สิ่งนั้นทำแล้ว ทำอะไร

มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะอันนั้นน่ะ นั่นล่ะคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีของเรา แต่ถ้ามีสติมีปัญญา กาลเวลา จังหวะโอกาส เราก็ทำของเราถูกต้องดีงาม ถ้ามันมีบุญกุศล มันมาเลย

คนเวลาต้องแสวงหาสิ่งใด มีแต่คนเอามาจุนเจือ มีแต่คนช่วยเหลือเจือจาน เพราะเขาทำของเขามาๆ แล้วทำที่ไหนล่ะ ก็ทำแบบเรานี่ เขาเสียสละของเขา เขาทำของเขา เขาถึงได้ของเขา คนเราไม่ได้ทำสิ่งใดมา แล้วก็แสวงหาอยากได้สิ่งนั้น มันจะเอามาจากไหนล่ะ กลิ่นของศีลหอมทวนลมนะ คุณงามความดีของเรามันหอมทวนลมนะ ดูสิ ดูเด็กๆ เด็กๆ ที่มันขยันหมั่นเพียร ที่มันซื่อสัตย์สุจริต ผู้ใหญ่รักทั้งนั้นน่ะ ถึงมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เขามีพ่อมีแม่ เขามีญาติตระกูลของเขา เขาก็ดูแลของเขา แต่เราก็ชื่นชมนะ

กลิ่นของศีลหอมทวนลม ความดีๆ นะ เราเห็นเขาทำ เราก็ชื่นชม เด็กคนนี้ดี ถ้าเด็กคนนี้มีความเพลี่ยงพล้ำ เราจะดูแล เราจะช่วยเหลือ เราจะเจือจาน มันหอมทวนลมไง แต่ถ้ามันพาล มันอยากได้ของมัน มันเที่ยวฉกชิงวิ่งราวของมัน เด็กคนนี้ไม่ดี ถ้าเกิดเขามีปัญหาขึ้นมา สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า เขาสมน้ำหน้าทั้งนั้นน่ะ แต่เขาสมน้ำหน้าเพราะอะไร ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันถึงคราววันหนึ่งมันต้องเกิดผลของมันแน่นอน

นี่พูดถึงว่า ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่งๆ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีสติมีปัญญาของเรา แล้วเรื่องทำหน้าที่การงานของเรา เราขวนขวายของเราเพื่อประโยชน์กับเราๆ มันต้องทำทุกคน แล้วทำแล้วมันเป็นคุณงามความดี คุณงามความดี เห็นไหม มนุษย์ล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร เวลาบวชเป็นพระขึ้นมา พระถ้ามีวิริยะมีอุตสาหะ มันมีสติมีปัญญา มันอยากทำ มันอยากเข้าทางจงกรม มันอยากนั่งสมาธิภาวนา มันจะไม่อยากให้เสียเวลา เสียไปโดยเปล่าประโยชน์เลย ถ้ามันเสียเวลาเปล่าประโยชน์

เวลาเขาหลีกเร้นไป เขาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา แล้วก็บอกว่า “เขาขี้เกียจ เขาไม่ทำอะไรเลย เขาไม่เอาไหนเลย”

นั่นล่ะเขาทำยอดงาน ยอดงานเพราะอะไร เพราะว่าเขาเอาใจของเขาไว้ในอำนาจของเขา ใจของเขา ดูสิ ดูใจของเราสิ หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงานนะ ใครก็ทำงานได้ ต่อไปจะไม่มีงานทำแล้ว เขาจะให้หุ่นยนต์ทำ หุ่นยนต์มันไม่มีชีวิตจิตใจนะ มันทำดีกว่าเราอีก ไม่ผิดไม่พลาดด้วย ด้วยปัญญาบัณฑิต เขาทำของเขาได้ แต่นี่เรามีหน้าที่การงานของเรา เราทำของเรา

เราทำของเรา เราทำของเรา เราทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริตของเรา ถ้าซื่อสัตย์สุจริตจะเอาอะไรกิน มันจะพอกินที่ไหน เพราะซื่อสัตย์สุจริตนั่นล่ะมันเหลือกิน มันเหลือกินตั้งแต่ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติต่อๆ ไปเลย เพราะทำคุณงามความดี ความดีส่งเสริมต่อไปเนื่องๆ

คนเรา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วพลัดพราก มันจะไปไหนต่อ ไปไหนต่อ คุณงามความดี กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้ามันทำคุณงามความดี ความดีมันจำแนกให้มันเกิดดีๆ จำแนกให้มันเกิดสิ่งที่สังคมที่มันปรารถนา ไปเกิดในชาติตระกูลที่เขาสมความปรารถนา ทำดีๆ นี่ไง ดูสิ ทำความดีๆ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่มันพลัดพรากไปที่สุดแล้วมันไปไหน มันไม่สุดน่ะสิ ที่ไหนมีการเกิดที่นั่นมีการตาย ที่ไหนมีการตาย ที่นั่นมีการเกิด ยกเว้นพระอรหันต์ เท่านั้นเอง ถ้าพระอรหันต์สุดแล้วก็คือสุด แต่เรานี้มันยังไม่สิ้นสุด มันเวียนว่ายตายเกิดๆ เวลามาเป็นเราๆ ไง

นาย ก. ตายแล้วไปเกิดเป็นนาย ข. แล้วเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า แล้วความดีของนาย ก. จิตดวงนั้นทำขึ้นมา แล้วชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด นาย ก. ตายไปไปเกิดเป็นนาย ข. แล้วนาย ข. ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำไมบาปกรรมจะต้องมาตกกับฉัน

ก็เขาทำของเขามา จิตมันทำมาๆ เราจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธ มันเป็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น

นาย ก. ตายไปไปเกิดเป็น นาย ข. ถ้านาย ก. ทำคุณงามความดีขนาดไหน นาย ข. เกิดมา นาย ข. มีความสุขมากเลย แล้วบอกว่า อ้าว! นาย ก. ไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเลย

ก็จิตดวงเดียวกัน เพียงแต่มันเกิดคนละภพคนละชาติ จิตดวงนั้นน่ะ เวลามันได้มา ถ้ามันเวียนว่ายตายเกิดไป เพราะทำคุณงามความดีอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนไง สอนให้เราเสียสละ การเสียสละ ไม่ต้องเสียสละวัตถุสิ่งของหรอก เสียสละคือเสียสละ เสียสละให้มันมีสติปัญญา เพราะอารมณ์เวลามันเครียด เวลาอารมณ์มันบีบคั้นหัวใจ มันเสียสละไม่ได้ ความเสียสละ เสียสละด้วยปัญญาไง

ใครทำเรา สิ่งที่มันบีบคั้นในใจ ใครเป็นคนทำเรา เพราะเราขาดสติ พอเราขาดสติ อารมณ์นั้นมีรสชาติ อารมณ์ของกิเลสมันป้อนเข้ามา นี่รสชาติของมัน เจ็บปวดในใจนี่ชอบนักๆ ถ้ามีสติมีปัญญา มันวางได้ อารมณ์อย่างนี้เราไม่ต้องการ ถ้าเราไม่ต้องการ มันพันธุกรรมของมัน มันชอบของมันอย่างนั้น เพราะมันจริตนิสัย เราก็ต้องบังคับ คิดพุทโธเสีย คิดหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ในเมื่อเราช่วยตัวเองไม่ได้ เราก็กอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พุทธานุสติ มีสติระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาของเรา ฝึกหัดใจของเรา ฝึกหัดใจของเรา อย่าให้มันไปคิดสิ่งที่เจ็บช้ำน้ำใจ

ไอ้เจ็บช้ำน้ำใจมันก็เจ็บพออยู่แล้ว คิดไม่คิดมันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะมันกระทบมาแล้ว ถ้ายิ่งคิดยิ่งตอกย้ำ มันก็ยิ่งเจ็บปวดเข้าไปมากกว่านั้นน่ะ แล้วถ้าคนมีสติ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บังคับให้มันคิด หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ บังคับมันๆ บังคับมันไปก่อน พอบังคับไปแล้ว เออ! สบายเนาะ ไม่บีบคั้นตัวเองเนาะ มันดีไปหมดเลยเนาะ ถ้ามันคิดได้มีสติปัญญา

มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เรามีสติปัญญา ปัญญาของเรา ถ้าสติปัญญารักษาหัวใจอันนี้ไว้ได้ สิ่งต่างๆ ข้างนอก ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นเรื่องรองเลย แต่ถ้ามันไม่มีธรรมเป็นที่พึ่ง ปัจจัยเครื่องอาศัยมันบีบคั้นเรา เราไม่สมฐานะ ไม่เทียมหน้าเทียมตาเขา มันคิดไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ก็กินเหมือนกัน อยู่เหมือนกันนั่นน่ะ

แต่ถ้ามันมีสติปัญญาแล้วนะ ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นเรื่องรองเลย มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ คนจนผู้ยิ่งใหญ่คือหลวงตาของเรามีบริขาร ๘ หาเงินช่วยชาติเป็นหมื่นๆ ล้าน ทองคำเป็นสิบๆ ตัน นี่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ เพราะจิตใจของท่านไม่ติดข้องในสิ่งใด ท่านทำเพื่อชาติ ท่านทำเพื่อลูกหลาน ทำเพื่อพวกเรา ทำไมท่านทำของท่านได้ล่ะ เพราะจิตใจของท่านยิ่งใหญ่

ฉะนั้น ถ้าเรามีสติปัญญา สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นเรื่องรอง พอรองแล้วเราทำด้วยความสบายใจของเรา จิตใจมันปลอดโปร่ง ถ้ามันได้มาสิ่งใด คนที่ฉลาด สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับเขา นี่ประโยชน์กับเขา

บ้านของใครเกิดไฟไหม้บ้านนั้น ใครขนทรัพย์สมบัติจากบ้านนั้นออกได้มากเท่าไร ทรัพย์สมบัตินั้นจะเป็นของเขา ถ้าเขาไม่ได้ขนของออกจากบ้านหลังนั้นเลย มันจะไหม้ไปกับบ้านหลังนั้น

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาตายไป สมบัติที่ว่าของเราๆ มันไหม้ไปหมดเลย มันเป็นของโลกไม่ใช่เป็นของเราเลย แต่ถ้าใครขนออกจากบ้านนั้นจะเป็นของเรา เสียสละๆ ทำบุญกุศลไป เสียสละ ช่วยเหลือเจือจานเขาไป เราขนออกจากบ้านเรา ของเราทั้งนั้น เพราะใจเป็นคนทำ เราเป็นคนเสียสละ เราเป็นคนมีเจตนา ใจมันรับรู้ ใจรับรู้ มันไปกับใจดวงนั้นไง มันไปกับใจดวงนั้น ทรัพย์สมบัติทิ้งไว้กับโลกนี้ ทิ้งไว้กับที่เราช่วยเหลือเจือจานเขา แต่ผู้ที่กระทำ เจตนาที่ใจเป็นคนทำ ใจนั้นเป็นคนทำๆ มันเป็นคนคิดจะเสียสละ มันเป็นคนคิดว่าจะให้ พอมันให้ มันรู้ พอมันรู้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันซับลงใจนั้น ซับลงใจนั้น มันทำมากขนาดไหน มันจะได้มากขนาดนั้น มันทำน้อยขนาดไหน มันก็ได้น้อยขนาดนั้น มันไม่ทำอะไรเลย มันก็ไปทุกข์ไปยากเอาข้างหน้านู่น

นี่ไง ปัจจัยเครื่องอาศัยเราแสวงหาด้วยความเป็นธรรมแล้ว ถ้ามีสติปัญญามันจะเป็นประโยชน์กับมันไง เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นไง มันได้ขนทรัพย์สมบัติออกจากเรือนหลังนี้ ถ้าออกจากเรือนหลังนี้ไปมันจะเป็นสมบัติของเขา เขาตายไปมันจะเป็นสมบัติของเขา เพราะมันเป็นทิพย์ๆ มันไปกับใจดวงนั้นไง แต่ไอ้กิเลสก็บอกของเราๆ อยู่นี่ เวลาของเรา เวลาตายไปมันไหม้ มันเผาไหม้ไปกับชีวิตนี้ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด พอตายไปแล้วก็จบ เป็นสมบัติของใครก็ไม่รู้ เราก็ตายไป เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวของมันไง

พูดถึงถ้ามีสติปัญญานะ มนุษย์ที่ประเสริฐๆ ประเสริฐตรงนี้ ถ้ามันคิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็ทำลายเขาไปทั่ว เขาบอกว่าเกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐที่สุด เขาบอกว่ามนุษย์นี่หรือประเสริฐ มนุษย์นี่ตัวทำลายเลย ทำลายเขาทั้งนั้น ทำลายเขาทั้งนั้น นี่เขามองแง่มุมเดียวไง

แต่ถ้ามนุษย์ มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาโนก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นมนุสสเทโว มนุษย์เทวดา คนที่เป็นมนุษย์เทวดา แล้วเราจะเป็นอะไรเราก็เลือกเอาไง เราจะเป็นมนุษย์ที่ดี หรือเราจะเป็นมนุษย์ที่ระรานเขา ถ้าเราไม่ระรานเขานะ จิตใจเราก็ปลอดโปร่ง มันก็เกิดบารมี

ถ้าจิตใจเราระรานเขา สิ่งที่ว่าได้มาๆ ได้มาเพราะไม่ทำหน้าที่การงาน จะเอาแต่ความสะดวกสบายของตน คิดว่ามันจะสะดวกสบายของตน สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเราทำของเรา ทำของเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อชีวิตของเราแล้วนะ ถ้ามีสติปัญญานะ เราจะนั่งสมาธิ เราจะภาวนาของเรา เราจะภาวนาของเรา รื้อค้นให้มันเห็นจริงตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วเป็นตามความเป็นจริงที่ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมา ท่านเห็นความยิ่งใหญ่ของใจ

ดูสิ หลวงตาท่านไปไหนก็แล้วแต่ ท่านไปทั่วประเทศ ท่านบอกไม่ได้ไปปรารถนาสิ่งใดเลย ปรารถนาหัวใจของคน เวลาท่านเทศน์ท่านเทศน์ออกมาของท่านนะ ท่านพยายามจะจี้เข้าไปในใจๆ เพราะว่าท่านรื้อค้นใจของท่านได้ ท่านหาหัวใจของท่านเจอ แล้วท่านพยายามพิจารณาของท่านจนสละกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของท่านทั้งหมดเลย แล้วในใจของเรามันก็เป็นอย่างนั้นทุกๆ คนเลย ท่านถึงมาปลุกหัวใจของเราไง ท่านมาปลุกหัวใจของเราให้ตื่นตัวขึ้นมาไง

หน้าที่การงานเป็นหน้าที่การงาน ชีวิตเรา ครอบครัวใครก็ต้องรัก ชาติตระกูลของเราทุกคนก็ต้องรักทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าชาติตระกูล ถ้าเป็นคนดี เราก็ส่งเสริมกันไป ถ้ามันมีปัญหาขัดแย้งกันไป ก็เป็นกรรมของสัตว์ คือเราวางไง เราอย่าไปเก็บมาเป็นอารมณ์ เพราะเราเลือกไม่ได้ เราจะเลือกให้ทุกคนเป็นสมความปรารถนาเราไม่ได้ ถ้าใครจะเป็นสิ่งใด กรรมของสัตว์ คือเขาทำของเขาเอง เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา แล้วถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา เราดูแลหัวใจของเรา เราปรารถนาหัวใจของเรา

ครูบาอาจารย์ท่านปรารถนาตรงนี้ ท่านปรารถนาให้ทุกดวงใจมีความสุข ให้ทุกดวงใจเลี้ยงใจของตัวเองได้ ให้ทุกดวงใจค้นคว้าหาใจของตนให้เจอ แล้วถ้ามีสติมีปัญญา มันสำรอกมันคายของมันออก ใจดวงนั้นประเสริฐที่สุด ใจดวงนั้นประเสริฐที่สุด

เวลาพูดก็พูดอย่างนี้ เวลาเขาบอกว่า ทำไมเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุด นี่ก็ใจประเสริฐที่สุด ก็ไม่ต้องกินอะไรเลย

ไอ้นี่มันสุดโต่ง มันพูดเสียดสีกันเฉยๆ ในเมื่อเป็นวิทยาศาสตร์ ร่างกายเป็นสสาร มันต้องการอาหาร มันก็ต้องการอาหาร คนเขามาประพฤติปฏิบัติ เขาก็ไม่ใช่โง่ขนาดนั้น เขาจะมาฆ่ากิเลส เขาจะโง่ขนาดนั้นได้อย่างไร เขาจะฆ่ากิเลส เขาต้องฉลาดสิ ฉลาดตรงไหน ฉลาดรักษาชีวิตนี้ไว้ ฉลาดรักษาร่างกายนี้ไว้ ต้องบริหารร่างกายของเรา เช้าก็ออกกำลังกายขึ้นมาให้ร่างกายมันแข็งแรง

สุขภาพที่ดีหาซื้อไม่ได้ สุขภาพที่ดี เราต้องออกกำลังกาย สุขภาพที่ดี เราต้องดูแลรักษาร่างกายของเรา รักษาไว้ทำไม รักษาไว้เดินจงกรมก็สะดวก รักษาไว้นั่งสมาธิก็ดี ถ้าเดินจงกรม นั่งสมาธิเข้าไปค้นหาหัวใจของตน ถ้าหัวใจของมันได้พัฒนาของมันขึ้นไป

คนไม่ใช่โง่ นู่นก็ไม่ต้องการ นี่ก็ไม่ต้องการ แล้วก็ละทิ้งไปเลย คนไม่ต้องการเขาไม่ต้องการที่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ท่านชำระล้างกิเลสแล้ว เศษส่วนที่เหลือก็ร่างกายนี้แหละ ถ้าจิตใจ จิตใจก็เป็นธรรมธาตุ ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงแล้ว ท่านไม่โง่หรอก แล้วท่านไม่โง่แล้วท่านจะรักษาสิ่งที่เป็นสัจจะ เป็นความจริง เป็นความจริงตลอดไป ถ้าความจริงในหัวใจที่มันเป็นจริงขึ้นมา

ฟังธรรมๆ เพื่อหัวใจดวงนี้ หน้าที่การงานของเรา เราก็ต้องขวนขวายกระทำของเรา ทำของเรา เพราะมันเป็นงานภายนอก งานภายใน งานภายนอกเราก็ทำเพื่อไม่ให้โลกติฉินนินทา งานภายใน เราก็รักษาหัวใจของเรา แล้วถ้ามันมีมรรคมีผลขึ้นมา อันนี้ประเสริฐที่สุด เอวัง